ไม่พบผลการค้นหา
สงครามยูเครนเดินหน้าเข้าสู่วันที่ 38 แล้ว หลังจากกองทัพรัสเซียเข้ารุกรานยูเครนตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา จากทั้งตอนเหนือ ตะวันออก และใต้ของประเทศ ล้อมรอบและตีโอบเพื่อเป้าประสงค์ในการเข้ายึดกรุงเคียฟของประเทศ อย่างไรก็ดี แผนการทั้งหมดของรัสเซียกลับล้มเหลว ส่งผลให้รัสเซียปรับท่าทีและเริ่มถอนกำลังของตนออกจากบริเวณรอบกรุงเคียฟแล้ว

หลังจากการถอนกำลังของกองทัพรัสเซียออกจากทางบริเวณทางตะวันตกของกรุงเคียฟ สำนักข่าว BBC ได้รับอนุญาตให้เข้ารายงานสถานการณ์ในบริเวณโดยรอบกรุงเคียฟ ก่อนที่จะปรากฏให้เห็นภาพของศพพลเรือนชาวยูเครนจำนวนมากที่นอนเสียชีวิตอยู่กลางถนน พร้อมกับซากเมืองที่ถูกยิงถล่มด้วยระเบิด ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่ารัสเซียอาจก่ออาชญากรรมสงครามในประเทศเพื่อนบ้านของตนเองอย่างยูเครน

ภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ทางสำนักข่าว BBC สามารถบันทึกเอาไว้ได้ เกิดขึ้นที่บริเวณทางด่วนหมายเลข E-40 ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงเคียฟ โดยภาพเผยให้เห็นถึงศพของประชาชนจำนวนมาก หลายศพในนั้นคือผู้ที่พยายามหนีตายออกจากตัวเมืองหลังถูกล้อมถล่มโดยกองทัพรัสเซีย โชคไม่ดีที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาจากเมืองไปได้

ปัจจุบันนี้ กองทัพยูเครนได้กลับเข้ามาควบคุมพื้นที่ทางตะวันตกของกรุงเคียฟได้แล้ว หลังจากกองทัพรัสเซียถอนทัพออกไปจากบริเวณดังกล่าว รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่ากองกำลังของรัสเซียทางตอนเหนือได้ถอยกลับไปยังฝั่งของเบลารุส ตามคำสัญญาว่าตนจะลดปฏิบัติการบางส่วนลงในบริเวณรอบกรุงเคียฟ และเมืองทางตอนเหนือของยูเครน อย่างไรก็ดี ยังมีรายงานเสียงระเบิดและเสียงกระสุนรอบๆ เมืองหลวงของยูเครนเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ

อเล็กซานเดอร์ รัดซิคอฟสกี อาสาสมัครกองทัพยูเครน ผู้เดินทางกลับมายังประเทศของตนเองจากสหราชอาณาจักรเพื่อมาปกป้องประเทศบ้านเกิดเปิดเผยภาพที่ตนได้บันทึกผ่านโดรนกับ BBC ว่า ทางการยูเครนพบภาพของรถประชาชนชาวยูเครนที่กำลังขับเพื่อหนีออกจากทางพื้นที่ตะวันตกของกรุงเคียฟ อย่างไรก็ดี มีรถถังของกองทัพรัสเซียดักรอพวกเขาอยู่ (รับชมภาพได้ทางลิ้งก์วิดีโอด้านล่าง)

ภาพที่ถูกบันทึกได้เปิดเผยให้เห็นถึงทหารของกองทัพรัสเซียที่สั่งให้รถของพลเรือนยูเครนหยุด พลเรือนรายดังกล่าวเดินลงจากรถตนเอง พร้อมชูมือทั้งสองข้างขึ้นฟ้าเพื่อแสดงว่าตนเองไม่มีอาวุธ และไม่เป็นอันตรายต่อทหารรัสเซีย อย่างไรก็ดี ทหารรัสเซียยิงพลเรือนรายดังกล่าวเสียชีวิต พลเรือนรายดังกล่าวมีชื่อว่า มาซิม โยวานโค และ คิสเซนนา ภรรยาของตนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ดี ลูกวัยหกขวบของทั้งสองกับเพื่อนที่หนีมาพร้อมกันรอดชีวิตไปได้ เพื่อนของมาซิมเปิดเผยว่า ก่อนที่มาซิมจะถูกทหารรัสเซียสังหาร เขาตะโกนว่า “ในรถมีเด็ก”

ศพของมาซิมถูกทิ้งอยู่ข้างรถของเขากว่าเกือบเดือน สภาพร่างไร้วิญญาณของเขาถูกไฟเผาจนดำเหมือนตอตะโก ในนิ้วนางข้างซ้ายของมาซิมยังคงสวมแหวนแต่งงานของเขากับภรรยาเอาไว้ รถของพวกเขาปรากฏรอยกระสุนที่ถูกยิงมาจากทางทหารรัสเซีย ทั้งสองไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกไฟเผา มีข้อสันนิษฐานว่าทหารรัสเซียพยายามเผารถและศพของมาซิมพร้อมภรรยาเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐานอาชญากรรมสงครามที่รัสเซียก่อในยูเครน

ยังมีศพอีกมากบนทางด่วนสาย E-40 ของยูเครน จำนวนมากอยู่ในลักษณะที่คลhายกันกับศพของมาซิม ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาถูกเผาด้วยไฟเพื่อทำลายหลักฐาน หลายศพยังไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่าพวกเขาคือใคร อย่างไรก็ดี วินาทีสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลเรือนหลายรายเปิดเผยว่า พวกเขามีญาติพี่น้องของตนที่เสียชีวิตลงจากการรุกรานของยูเครน โดยหลังสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลง โลกอาจพบกับหลักฐานการก่ออาชญากรรมสงครามโดยรัสเซียที่เพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนมาก

นอกจากนี้ BBC ยังได้เข้าสังเกตการณ์สถานการณ์ในเมืองเออร์ปินของยูเครน โดยปัจจุบัน สภาพของเมืองเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกยิงถล่มด้วยระเบิด อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวของ BBC เปิดเผยภาพรถถังของกองทัพรัสเซียที่ถูกระเบิดทำลายจนไม่เหลือสภาพดี ช่วยชี้ว่าปฏิบัติการของรัสเซียในยูเครนไม่ได้ราบรื่นมากนัก เนื่องจากการที่ยูเครนสามารถตอบโต้กับการรุกราน และป้องกันประเทศของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รับชมวิดีโอรายงานพิเศษของ BBC ได้ทาง: https://www.youtube.com/watch?v=HNTPyAsMmxs

(คำเตือน: วิดีโอมีภาพศพ ความรุนแรง การทำลายล้าง ที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจของผู้ชม)