นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2559 เห็นชอบหลักการให้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จัดทำระเบียบหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว รวมทั้งให้ขอรับความเห็นจากสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อ
ขณะที่ ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้ยกร่างระเบียบการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นฯ ส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว และล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2561 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ความเห็นชอบและลงนามในระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข พ.ศ.2561 และจะมีผลหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามข้อ 6 ของระเบียบดังกล่าวใน 4 กรณี ดังนี้
1.กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องรักษาตลอดชีวิตและมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ตั้งแต่ 240,000 - 400,000 บาท (จากข้อบังคับเดิม จ่ายไม่เกิน 200,000 บาท)
2.กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ตั้งแต่ 100,000 -240,000 บาท (จากข้อบังคับเดิม จ่ายไม่เกิน 120,000 บาท)
3.กรณีติดเชื้อ หรือกรณีบาดเจ็บจนได้รับอันตรายสาหัส จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ไม่เกิน 100,000 บาท (จากข้อบังคับเดิม จ่ายไม่เกิน 50,000 บาท)
4.กรณีติดเชื้อ หรือกรณีบาดเจ็บ และได้รับการรักษาไม่เกิน 20 วัน จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท
โดยสถิติการขอรับเงินช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2555-2559 มีคำร้องที่เข้าเกณฑ์ได้รับการช่วยเหลือ 1,933 ราย ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยรักษาต่อเนื่อง วงเงินชดเชย 20.41 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจัดทำระเบียบนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและความเป็นธรรมแก่ให้ผู้บริการสาธารณสุข โดยให้มีผลครอบคลุมถึงผู้ให้บริการสาธารณสุขภาครัฐในทุกสังกัดและบริการผู้ป่วยทุกสิทธิ ครอบคลุมถึงข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข หรือเจ้าหน้าที่อื่นของโรงพยาบาลรัฐในสังกัดต่างๆ หรือหน่วยงานอื่น ซึ่งได้รับมอบหมายให้บริการสาธารณสุข รวมถึงนิสิตนักศึกษาที่เข้ารับการศึกษาอบรมตามหลักสูตรทางการแพทย์หรือสาธารณสุขของสถาบันการศึกษาและได้รับมอบหมายจากอาจารย์ผู้ควบคุมในการให้บริการสาธารณสุขด้วย