ไม่พบผลการค้นหา
‘สุขุมพงศ์’ ถอดบทเรียน ‘บัตรสองใบ-คนละเบอร์’ เลือกตั้งปี 2553 ทำประชาชนสับสน กาเบอร์ซ้ำกับพรรคอื่น เผย กมธ. ส่วนมากหนุนเบอร์เดียว แต่คาดโหวตแพ้เสียงซีกรัฐบาล

วันที่ 23 มี.ค. 2565 สุขุมพงศ์ โง่นคำ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมธาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพรรคการเมือง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... กล่าวกับ 'วอยซ์' ถึงการเตรียมลงมติของคณะ กมธ. ในสัปดาห์หน้า เพื่อชี้ขาดว่าการเลือกตั้งด้วยบัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น จะใช้คนละเบอร์ หรือเบอร์เดียวกันทั้งประเทศ โดยระบุว่า เบื้องต้น กมธ. ส่วนใหญ่จากหลายพรรคการเมือง เห็นด้วยกับการใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเคยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำวิจัยเรื่องระบบการเลือกตั้ง และพบว่าการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ แต่คนละเบอร์นั้น ก่อให้เกิดปัญหา และสร้างความสับสน อย่างไรก็ตาม สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และ ส.ส.บางส่วนจากพรรคร่วมรัฐบาล กลับมองว่า ไม่ควรใช้เบอร์เดียวกัน เนื่องจากจะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตราที่ยังไม่ได้แก้ไข

สุขุมพงศ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงผลเสียของการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ คนละเบอร์ ที่เคยเกิดขึ้นครั้งเดียวในประเทศไทย คือการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2550 ที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ด้วยการกำหนด ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่า ระบบสัดส่วน 80 คน อีกทั้งในเขตใหญ่ยังกำหนดให้ประชาชนต้องเลือก ส.ส. มากถึง 3 คน เท่ากับต้องจดจำหมายเลขที่แตกต่างกันมากชึ้น เป็นเหตุให้เกิดความยากลำบากในการหาเสียง เนื่องจากผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ไม่สามารถช่วยหาเสียงให้ ส.ส.แบบระบบสัดส่วนได้ เพราะใช้เบอร์ต่างกัน ยากต่อการจดจำ อีกทั้งเบอร์ของระบบสัดส่วนก็ยังมีโอกาสซ้ำกับเบอร์ของพรรคการเมืองอื่น

แม้ในที่สุด พรรคพลังประชาชนจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น และได้จำนวน ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับ 1 แต่เมื่อพิจารณาผลการเลือกตั้งแบบสัดส่วน จะเห็นว่าใกล้เคียงสูสีกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมาก (พลังประชาชน 41.08% ประชาธิปัตย์ 40.45%) เพราะประชาชนสับสนว่าใช้เบอร์เดียวกันในบัตรทั้งสองใบ จนนำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในปี 2552 ซึ่งมีเสียงเป็นเอกฉันท์เห็นว่าควรกลับไปใช้ระบบบัตรเบอร์เดียว เพราะทุกฝ่ายล้วนเห็นว่าระบบเลือกตั้งแบบหลายเบอร์นั้นเป็นปัญหา

สำหรับการโหวตลงมติในการประชุม กมธ. นัดต่อไปนั้น สุขุมพงศ์ กล่าวว่า คาดเดาผลได้ยาก เพราะถึงแม้การอภิปรายในที่ประชุม เสียงส่วนใหญ่จะเห็นชอบกับระบบเบอร์เดียว แต่เมื่อถึงเวลาลงมติจริง อาจมี กมธ.บางคนที่ไม่ได้เข้าประชุมตามปกติมาร่วมโหวตด้วย ซึ่งอาจจะทำให้บัตร 2 ใบแต่คนละเบอร์ชนะโหวตได้ เนื่องจาก ส.ส.ซีกพรรคร่วมรัฐบาล มีสัดส่วนในที่ประชุม กมธ. มากกว่า