วันที่ 16 เม.ย. 2565 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (อิสระ) เบอร์ 8 ลงพื้นที่หาเสียงช่วงเช้า ที่บริเวณตลาดใหม่ทุ่งครุ เขตทุ่งครุ เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนผู้ประกอบการ จากนั้นลงพื้นที่หมู่บ้านวิเศษสุขนคร ประชาอุทิศ 79 โดยลงพื้นที่หาเสียงเขตทุ่งครุเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เนื่องจากเป็นจุดอ่อนด้านคะแนนเสียงยังไม่ค่อยดี ต้องมาลงรายละเอียดในพื้นที่มากขึ้น และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ส่วนการเข้าถึงประชาชนให้มากขึ้น ต้องมีทีมงานลงพื้นที่ไปช่วยด้วย ซึ่งมีคนในชุมชนที่ไม่ได้ติดตามโซเชียลมีเดีย อาจจะต้องมีการแจกใบปลิวเพิ่ม ส่วนการประเมินคะแนนเสียงในพื้นที่ ชัชชาติ กล่าวว่าโซนกรุงเทพฯเหนือ เริ่มมีผลตอบรับดีขึ้น เนื่องจากมี ปวีณา หงสกุล มาช่วยหาเสียง ยังเหลือโซนฝั่งธนบุรี ยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้ว หลังจากนี้อีก 35 วันจะเน้นไปที่การเดินในชุมชน เพื่อรับฟังปัญหาต่างๆ
เมื่อถามว่าพื้นที่เขตทุ่งครุ แตกต่างจากเขตอื่นอย่างไร ชัชชาติ ตอบว่า ทุ่งครุมีปัญหาน้ำท่วม เพราะเป็นเขตต้นๆ ติดกับชายฝั่งทะเล ดังนั้น มีโอกาสที่จะถูกน้ำหนุน ล้นเข้ามาในคูคลอง และเวลาฝนตกหนัก ไม่สามารถระบายออกที่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้สะท้อนปัญหาเรื่องยาเสพติด เพราะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีคนเข้าออกจำนวนมาก เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงทำให้ปัญหายาเสพติดรุนแรงขึ้น มองว่าประชาชนตอบรับตน เพราะชื่อชัชชาติและนโยบายที่ตอบโจทย์ ส่วนจะมีเวทีปราศรัยหรือไม่ ชัชชาติ ระบุว่าอาจจะเป็นเวทีย่อย โดยปรับตามสถานการณ์
“ผมคิดว่าเรายืนตรงๆ มั่นๆ เราเดินมาถูกทางแล้ว เรามั่นใจว่ามาถูกทาง เพราะมั่นใจว่าไปถูกทาง นโยบายที่เสนอออกไปคนตอบรับเยอะ มันก็มีเรื่องเฟกนิวส์ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ยืนตรงๆ และแก้ข้อกล่าวหาไป”
ชัชชาติ ระบุว่า ขอประชาชนใจมั่นๆได้รับข้อมูลที่ไม่จริง ขออย่าไปส่งต่อ หากมีอะไรให้ฟัง ชัชชาติ เป็นหลัก
ชัชชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีการเปิดเผยชื่อตัวเต็งตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. ของตนออกมา 4 คน โดยเป็นคนจากพรรคเพื่อไทยทั้งหมดนั้น ชัชชาติ ยืนยันว่าไม่เคยมีประกาศชื่อรองผู้ว่าฯ ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น มีเพียง เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ซึ่งอยู่ในทีมเพื่อนชัชชาติเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะรับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ส่วนอีก 3 ท่าน จากพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง ถือเป็นข่าวปลอมจากผู้ไม่หวังดี และไม่ควรกระจายต่อ เพราะการสร้างข่าวให้คุณให้โทษกับผู้สมัครก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมนั้น มีการลงนามอนุมัติให้เปิดสายการบินเอกชนประมาณ 40 สายการบินในระยะเวลาเพียง 1 ปี ซึ่งเป็นผลให้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ปักธงแดงประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน
โดย ชัชชาติ อธิบายว่าใบอนุญาตมี 2 ประเภท แบบแรกคือระบบขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ หรือ AOL ที่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบโดยคณะกรรมการจากหลายภาคส่วน รวมถึงผู้อำนวยการกรมการบิน ซึ่งการอนุมัติดังกล่าวถือว่าเป็นไปตามกฎหมาย หากไม่อนุมัติจะถือเป็นความผิดด้วยซ้ำ ดังนั้น การอนุมัติในช่วงปีนั้นไม่ถือว่ามากผิดปกติ แต่เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะผู้โดยสารมีจำนวนมากขึ้น
ส่วนใบอนุญาตแบบที่ 2 คือใบรับรองผู้ดำเนินการทางอากาศ หรือ AOC ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม แต่กรมการบินในสมัยนั้น โดยอธิบดีเป็นผู้ดูแล ดังนั้น แม้บางรายจะได้ใบอนุญาต AOL แต่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ AOC ก็ไม่สามารถขึ้นบินได้หลายราย ขณะที่ในช่วงปี 2554 ก็ไม่เคยได้รับคำเตือนอย่างเป็นทางการจาก ICAO แต่ก็กำชับกรมการบินให้เตรียมรับการตรวจสอบเสมอ จนกระทั่งเกิดการยุบสภาและรัฐประหาร เมื่อปี 2557 ทำให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ในปี 2558 ICAO ได้ปรับมาตรฐานการตรวจใหม่ให้เข้มข้นขึ้น กรมการบินฯ อาจไม่ได้เตรียมพร้อมในส่วนนั้นไว้ เมื่อตรวจสอบอีกครั้งจึงเกิดข้อบกพร่องดังที่ปรากฏ
"จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการทำทุจริตอะไร เป็นไปตามระเบียบทุกอย่าง ถ้ามีทุจริต ผมไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก คงโดนไปนานแล้ว"
ชัชชาติ ยังระบุว่า เศรษฐกิจไทยได้รับการกระตุ้นขึ้น เนื่องจากมีการอนุมัติสายการบินเพิ่ม ให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้มีโอกาสใช้บริการสายการบินด้วยราคาที่ถูกลง การแข่งขันสมดุล ในตลาดสายการบินที่ใหญ่ขึ้น ผู้โดยสารเพิ่มจำนวนกว่า 280% ด้วยเหตุนี้ ตนจึงคิดว่าปัญหาการขาดทุนของสายการบินไทยนั้น ไม่ได้เกิดจากการอนุมัติสายการบิน แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ต่อเนื่องกันมา ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่หวังดีแสดงความเห็นมา แต่ขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องทุจริตมาเกี่ยวข้อง
ชัชชาติ กล่าวถึงปัญหาการคุกคามทางเพศโดยนักการเมืองระดับ ‘รองหัวหน้าพรรค’ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวอยู่ โดยมองว่า การคุกคามทางเพศเป็นปัญหาที่ต้องจัดการอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะถูกซุกไว้ใต้พรมมานาน ถึงเวลาต้องเอาจริง เป็นกำลังให้กับผู้เสียหายทุกท่าน หวังว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายแล้ว ข้อเท็จจริงจะได้ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้า เพื่อสร้างความมั่นใจกลับคืนมาให้นักการเมือง และพรรคการเมืองด้วย จะได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับกระแสข่าวที่บ่งชี้ว่าอาจมีความเกี่ยวเนื่องกับผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งของพรรคการเมืองหนึ่งนั้น ชัชชาติ กล่าวว่า ตนไม่ได้มีข้อวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของบุคคล คงไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของพรรคการเมืองหรืออะไร ก็ขอให้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ต้องเคารพความเห็นของประชาชน