ไม่พบผลการค้นหา
“เพื่อไทย” เตือน “ประยุทธ์” เร่งแก้ปัญหายาเสพติด และ เร่งรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่ผันผวน ชี้ ถ้ายังคิดได้แค่น้ำท่วมใช้วิทยุทรานซิสเตอร์จะไม่มีทางรับมือได้ แนะ หลีกทางให้โอกาสประชาชนเลือกผู้นำใหม่ที่เก่งกว่า เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปได้

จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขต บางรัก และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจของการกราดยิง 38 ศพในจังหวัด หนองบัวลำภู ซึ่งผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเด็กผู้ไร้เดียงสา สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนทั่วไปอย่างมาก สาเหตุหลักที่ปฏิเสธไม่ได้และเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ คือการปราบปรามยาเสพติดที่ล้มเหลว จนมีการจำหน่ายยาเสพติดแพร่กระจายในราคาถูก จึงนำมาสู่เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดนี้ ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จะต้องเร่งแก้ปัญหายาเสพติดพร้อมกับเร่งรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะถาโถมเข้ามา

โดยล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ 6.41% แม้จะลดลงจากเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังสูงมาก โดยราคาพลังงานพุ่งขึ้นถึง 16.1% และ ราคาอาหารสดพุ่งขึ้นถึง 10.97% ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ประชาชนต้องกินต้องใช้ และปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีอาจจะสูงถึง 5.5%-6.5% เลย 

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.0% แต่ก็ยังห่างกันกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่ 3.0% ถึง 3.25% ทำให้ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่า และธนาคารกลางสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีนี้ ซึ่งอาจจะขึ้นถึง 4.25% ถึง 4.5% เลย ถ้าเงินเฟ้อของสหรัฐยังไม่ลดลง และสหรัฐอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีหน้า ดังนั้นภายในปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยโดย กนง. อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐไม่ห่างกันนัก อย่างไรก็ตาม การควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของการเช่าซื้อให้เหลือ 23% แม้เป็นเจตนาดีแต่อาจจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะจะกู้ซื้อรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ได้ยากขึ้น และอาจจะต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบกันมากขึ้น 

นอกจากนี้การส่งออกเดือนสิงหาคม ขยายตัวได้ 7.5% แต่การนำเข้าของไทยขยายมากกว่า ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเดือนสิงหาคมถึง 4,215.4 ล้านเหรียญ เป็นการขาดดุลการค้าที่มากติดต่อกัน 2 เดือนแล้ว (เดือนกรกฎาคม ขาดดุล 3,660.5 ล้านเหรียญ) ทำให้ยอดขาดดุลการค้าตั้งแต่ต้นปีพุ่งถึง 14,131.7 ล้านเหรียญ และภายในสิ้นปีนี้น่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย เพราะการท่องเที่ยวไม่ได้เข้ามาตามที่คาดกันไว้ 

อีกทั้ง งบประมาณปี 66 รัฐบาลยังจะมีแผนที่จะกู้เงินทั้งหมดสูงถึง 1.05 ล้านล้านบาท ทั้งๆที่ผ่านมา การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมากจนต้องขยายเพดานจาก 60% เป็น 70% แต่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ประชาชนกลับจนลง หนี้สาธารณะจะพุ่งสูงมากและอาจจะขยายเพดานกันอีก ดังนั้น การขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ช่วงห่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐ จะทำให้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอยู่แล้วจะอ่อนค่าลงอีกได้ 

ดังนั้นจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกซึ่งอาจจะขึ้นถึง 2% ในปีหน้าซึ่งจะเป็นภาระเพิ่มเติมให้กับประชาชนที่มีหนี้ครัวเรือนอยู่ถึง 15 ล้านล้านบาท ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกมาก คนผ่อนบ้าน คนผ่อนรถยนตร์ คนติดหนี้ธุรกิจ ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น และอาจจะทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นได้ รวมถึงดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะของรัฐที่รัฐจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นแสนล้านบาทด้วย นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ยังคงสูงอยู่ อาจจะไม่ลดลงได้ง่ายๆ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่จะต้องเพิ่มขึ้นอีกจากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาดของรัฐบาล และราคาน้ำมันที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการลดการผลิตของกลุ่มโอเปคพลัส และที่สำคัญเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้าตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แล้ว 

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อยากจะขอให้รัฐบาลที่จะพยายามยื้ออยู่ในอำนาจต่อไปได้ทำความเข้าใจ และเตรียมรับมือการแก้ปัญหาน้ำท่วม พลเอกประยุทธ์ ยังคิดได้แค่จะใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ที่คนรุ่นใหม่ไม่มีใครรู้จักแล้ว และยังไม่รู้เลยว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน สะท้อนวิสัยทัศน์ที่หลงยุค และไม่สอดรับกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ก็คงยากจะรับมือเรื่องยากๆ ที่ได้อธิบายนี้ หากทำไม่ได้ ควรคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพี่อให้คนไทยได้มีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่จะรับมือและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ อย่าทำให้ประเทศบอบช้ำไปมากกว่านี้เลย