วันที่ 14 เม.ย. 2566 ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยสีบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสีม่วง และแบบบัญชีรายชื่อสีเขียวว่า ต้องหาวิธีสื่อสารให้ชัดเจน เพราะเฉดสีมีความคล้ายคลึงกัน แต่เชื่อว่าภายใต้กฎกติกา และมาตรฐานเดียวกัน จะสามารถสื่อสารกับประชาชนให้สามารถแยกแยะสีบัตรได้ แต่ไม่ทราบว่าจะทำให้เกิดบัตรเสียมากขึ้นหรือไม่ เพราะเพิ่งจะมีการประกาศสีออกมา จึงต้องให้โอกาส กกต. ได้ชี้แจงประชาสัมพันธ์ แต่ในส่วนของพรรคจะสื่อสารกับประชาชนแบบคู่ขนานไปด้วย
ส่วนกรณีหากเกิดบัตรเสียมากขึ้นจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยมากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากอาจมีความสับสนในสีของบัตร เศรษฐา ยอมรับว่า สามารถเป็นไปได้ ดังนั้นพรรคจะทำงานให้หนักขึ้น พร้อมย้ำว่าทุกพรรคก็อยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน แต่พรรคยังมั่นใจในนโยบาย และผู้สมัครของพรรค จะทำให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยได้มากขึ้น และสามารถแยกแยะบัตรเลือกตั้งที่มีความคล้ายคลึงกันได้
ส่วนกรณีที่ กกต. เปิดรายชื่อพรรคการเมืองที่ชี้แจงรายละเอียดการใช้งบประมาณในแต่ละนโยบาย ซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็น 1 ใน 9 พรรคและยังชี้แจงไม่ครบนั้น เศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบข้อมูล แต่มั่นใจฝ่ายกฎหมาย และทีมเศรษฐกิจของพรรค เพราะนโยบายของพรรคค่อนข้างมีเยอะและโดนใจ และอาจมีนโยบายใหม่ออกมาอีก อาจจะต้องชี้แจงเชิงลึกให้มากขึ้น ขอให้ใจเย็นและมั่นใจในการชี้แจง
เมื่อถามนโยบายบัตรสวัสดิการพลัสที่ให้เดือนละ 1,000 บาท ของพรรครวมไทยสร้างชาติ หากเทียบ 1 ปี จะได้ 12,000 บาท ซึ่งมากกว่านโยบายกระเป๋าดิจิทัลนั้น เศรษฐา ระบุว่า “ว้าว” ก่อนตอบว่า ปกติส่วนตัวจะไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคอื่นเท่าไร แต่ขอชี้แจงในส่วนของนโยบายเพื่อไทย กรณีกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทนั้น ใช้เฉพาะพื้นที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนครั้งใหญ่ครั้งเดียว ไม่ให้กระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองใหญ่
เศรษฐา ระบุว่า ส่วนนโยบายพรรคอื่นที่ให้มากกว่า ก็เป็นความเชื่อของพรรคนั้นๆ และเห็นว่าเป็นการหยอดน้ำข้าวต้ม เปรียบเหมือนการเพิ่มปลาแห้ง เชื่อว่าไม่มีอะไร และขอให้ประชาชนตัดสินใจว่านโยบายของพรรคการเมืองใดดีกว่ากัน ตนขอไม่ตอบถึงนโยบายพรรคอื่น เพราะตะเสียมารยาทและต้องให้เหกียรติพรรคการเมืองนั้น ตนจะเดินหน้าเผยแพร่นโยบายของพรรคเพื่อไทยต่อไป พร้อมขอให้ประชาชนตั้งข้อสังเกตกันเองว่าเหตุใดนโยบาย 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่านโยบายบัตรสวัสดิการพลัส
นอกจากนี้ เศรษฐา ยังกล่าวถึงการแข่งขันนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองในขณะนี้ว่า จะต้องดูที่นโยบายด้วย ไม่ใช่แค่เม็ดเงินที่จะเป็นตัวชี้นำว่าประชาชนจะได้ประโยชน์เสมอไป รายละเอียดเชิงลึกของนโยบายก็สามารถทำให้ประชาชนตัดสินใจได้เช่นกัน ไม่ใช่ให้ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนการหยอดน้ำข้าวต้ม เติมปลาแห้งนิดเดียว จะหมายความว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์มากกว่าเสมอไป จึงไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ต่อว่าพรรคการเมืองคู่แข่งที่ปรับตัวเลขนโยบายให้สอดรับกัน
เศรษฐา ยังย้ำขอเดินหน้ามั่นใจนโยบายเพื่อไทย ในสัปดาห์หน้า ตนจะลงพื้นที่ทุกวัน โดยเงินดิจิทัลจะใช้ คนละ10,000 บาท ภายใน 6 เดือนจะใช้เดือนแรกหมดเลยก็ได้ ภายใน 4 กิโลเมตรและจำกัดพื้นที่ ตนขอให้เกียรติทุกพรรคการเมืองที่ออกนโยบาย ตนมั่นใจในนโยบายของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว
“ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรคเราจะผลักดันเงินดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริง” เศรษฐา ระบุ
ขณะเดียวกัน เศรษฐา ระบุถึงความมั่นใจในพื้นที่ผู้สมัคร ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะชนะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 1 เขต แต่อดีตเป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ครองพื้นที่มายาวนานว่า หลังจากที่ตนได้เดินตลาดในช่วงเช้า ได้พูดคุยกับผู้สมัคร ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วยังเชื่อมั่นนโยบาย ทั้งการยกระดับการท่องเที่ยว ยกระดับพาสปอร์ตไทย อีกทั้งการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ที่คาดว่าจะดียิ่งขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ว่าเป็นใคร พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าเจรจาการค้าทั่วโลก เพราะตลาดใหม่เป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อถามถึงเหลืออีก30 วันจะเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค. 2566 มั่นใจจะแลนด์สไลด์ 310 เสียงหรือไม่ เศรษฐาระบุว่า ไม่อยากจะคาดเดาจำนวนตัวเลข ส.ส.ของพรรคที่ตั้งเป้า 376 ว่าจะได้กี่เปอร์เซ็น แต่ขอเดินหน้างานเผยแพร่นโยบายของพรรค เพราะมี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.อุตสาหกรรมและผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ช่วยหาเสียง หากสื่อสารนโยบายครบถ้วนถูกต้องก็มั่นใจ หลังจากนี้มีเวลาไม่เยอะ ตนขอลุยหาเสียงเต็มที่ไม่มีการย่อท้อ และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งเวลามีไม่เยอะ ตนจะลุยเต็มที่