เวลาประมาณ 21.00 น.ของวันที่ 15 ต.ค.นิสิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ราว 3-4 คน นั่งรับฟังการปราศรัยบริเวณพื้นถนนเพลินจิตมุ่งหน้าพระรามที่ 1 ณ แยกราชประสงค์ พร้อมๆ กับวิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของตัวเองในฐานะประชาชนและคณะทำงานขององค์การสนับสนุนกิจกรรมนิสิต
'มานิตา บุญมี' นิสิตชั้นปีที่ 3 ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหนึ่งในคณะทำงานขององค์การบริหาร องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เผยมุมมองที่มีต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยกับ 'วอยซ์ออนไลน์' ว่า ในบทบาทขององค์กร ตนพร้อมสนับสนุนทุกฝ่าย แม้จะเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ก็ตาม
นิสิตหญิงย้ำว่า หน้าที่ขององค์กรคือการเป็นตัวกลางระหว่างนิสัตและผู้บริหารมหาวิทยาลัยเพื่อสอดประสานให้กิจกรรมและการแสดงออกสามารถเป็นไปได้ตามสิทธิและเสรีภาพที่นิสิตพึงมี ทั้งยังเป็นการทำให้นิสิตมั่นใจว่า "เขาจะรู้สึกปลอดภัยเพราะมีคนคอยช่วยเหลือ เราจะคอยสนับสนุน"
มานิตา ชี้ว่า องค์กรที่เธอเพิ่งเข้ามาเป็นคณะทำงานเมื่อเดือน มี.ค.ตั้งอยู่บนหลักความ 'เป็นกลาง' ซึ่งหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายสามารถจัดกิจกรรมการแสดงออกต่างอย่างเสรี หรือหมายความว่า ผู้ที่เห็นด้วยกับการชุมนุมครั้งนี้ต้องมีที่ยืนเช่นเดียวกับผู้เห็นต่าง
อย่างไรก็ตาม นิสิตปรัชญาและศาสนา อธิบายว่า การที่เธอบอกว่าองค์กรตั้งอยู่บนความเป็นกลาง คือความเป็นกลางบนความถูกต้อง คนที่ไม่เห็นด้วย นิสิต หรือบุคลากรสามารถแดลงออกซึ่งความเห็นต่างได้โดยองค์กรจะสนับสนุนเช่นเดิม ทว่า 'ความเป็นกลาง' ดังกล่าว ไม่ใช้การเลือกอยู่ตรงกลางระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ แต่คือความเป็นกลางที่ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย
"กลางบนความถูกต้อง ถ้าเลือกข้างระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย จะพูดว่าอยู่ตรงกลางไม่ถูก เราต้องสนับสนุนฝั่งประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด"
เมื่อย้อนกลับมาถามถึงเหตุผลในการออกมาร่วมการชุมนุมครั้งนี้ในฐานะตัวบุคคล มานิตา ชี้ว่า เธอเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้รับผลกระทบทางการเมืองหรือเศรษฐกิจมากนัก อีกทั้งผู้ปกครองทางบ้านยังคอยย้ำเตือนตลอดว่า "อย่าไปยุ่งเลย ไม่เกี่ยวกับเรา" ทว่าเธอกลับเห็นต่าง
นิสิตหญิงชี้ว่า เธอไม่สามารถทำเป็นไม่เห็น ปิดตา เพื่อตื่นขึ้นมาเจอกับความเป็นจริงว่าทุกครั้งที่ต้องตื่นเพื่อไปมหาวิทยาลัยตอนเช้าหรือเวลากลับที่พักตอนเย็นต้องเจอรถติดอยู่ตลอดเวลา และไม่มีทีท่าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา พร้อมย้ำว่า "แค่ออกจากห้องมันก็คือการเมืองแล้วค่ะ คือแค่เรามองไปหาทุกอย่าง เศรษฐกิจการเมือง เรื่องของเราทั้งหมด"
เธอเสริมมุมมองที่มีต่อผู้นำประเทศคนปัจจุบันว่า "ตั้งแต่นายกฯ เข้ามา ไม่มีการพัฒนา เหมือนประเทศถอยหลังเข้าสู่ 2475 ตลอด รู้สึกว่า ในเมื่อแกนนำออกมา เราก็อยากจะช่วยเขา ในสิ่งที่เราจะช่วยได้"
มานิตา ทิ้งท้ายว่า การที่คนบางส่วนไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้มาชุมนุมเป็นเพราะคนเหล่านั้นอาจไม่เคยต้องเผชิญกับด้านที่พวกตนต้องเผชิญ ซึ่งตัวเองไม่คิดจะไปยัดเยียดความคิดให้ใคร เพียงแต่ "เราจะรอจนกว่าคุณจะรู้สึกตัวเอง ให้ได้รู้สึกกับตัวเอง แต่ว่าตอนนี้เราก็ทำให้สิ่งที่เราทำได้"