วันที่ 9 ส.ค. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 10 ส.ค.นี้ ที่จะมีวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะล่ม 

สุทิน ระบุว่า สุดท้ายสภาฯ จะล่มหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ครั้งนี้มีปัจจัยที่ทำให้การประชุมรัฐสภาอาจจะไม่ราบรื่นเหมือนทุกครั้ง เพราะวันที่ 10 ส.ค. ตรงกับวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วหากมีการประชุม ส.ส.ก็มักจะลาประชุม เพื่อไปร่วมงานกำนันผู้ใหญ่บ้าน ฉะนั้นในวันที่ 10 ส.ค.นี้ ก็อาจจะมี ส.ส.ลาประชุมบ้าง 

ส่วนพรรคต่างๆ ที่ส่งสัญญาณว่าจะล่มประชุมตนไม่ทราบ วันนี้พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมหารือกันอีกครั้ง เพราะคิดว่าต้องมีวินัยรับผิดชอบ แต่ความรับผิดชอบของการเป็นสมาชิกรัฐสภานั้นบางครั้งการได้กฎหมายที่ดีหรือการต่อสู้ต้องใช้หลักทุกนิติวิธี ทั้งตามระเบียบแบบแผนและเทคนิค ในการออกกฎหมาย ซึ่งเทคนิคที่ว่าบางครั้งเสียงข้างน้อยทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นการไม่แสดงตนก็ดีหรือวอร์คเอ้าท์จึงถือเป็นเทคนิคของการออกกฎหมาย และไม่ควรใช้โดยไม่จำเป็น แต่ครั้งนี้จำเป็นเพื่อยับยั้งกฎหมายที่ใช้ไม่ได้ฉะนั้นก็ต้องแลกต้องได้อย่างเสียอย่าง ส่วนเรื่องนี้จะขัดจริยธรรม ส.ส หรือไม่นั้นต้องดูที่เจตนา

สุทิน ยังกล่าวในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน มองภาพรวมของพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรคว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแต่ละพรรคก็มีท่าทีที่แตกต่างกัน ฝ่ายค้านให้อิสระต่อกันและความเห็นที่แตกต่างกันตั้งแต่ต้นอยู่แล้วและไม่ไปจำกัดสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งก็แล้วแต่แต่ละพรรคว่าจะดำเนินการในวันที่ 10 ส.ค.นี้อย่างไร 

ทั้งนี้ สุทิน ยังเสนอประธานรัฐสภาว่า อาจจะกำหนดวันประชุมรัฐสภาเพิ่มได้ ซึ่งในที่ประชุมร่วมวิป 3 ฝ่ายนั้นมีการคุยกันให้มีการประชุมร่วมรัฐสภา 2 วัน แต่มีคนเสนอให้เหลือเพียงวันเดียว ซึ่งมีการพูดคุยกันว่าจะเป็นวันที่ 9 ส.ค. แต่เนื่องจากประธานวุฒิสภาไม่ให้วันที่ 9 การประชุมร่วมรัฐสภาจึงเกิดขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคม และยังไม่มีการนัดประชุมวิป 3 ฝ่ายเพื่อหารือเพิ่มเติม

มองปม 8 ปีนายกฯ ไม่ควรถึงศาล รธน.

สุทิน กล่าวถึงการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่า วันนี้มีการสร้างกระแสที่ผิดตรรกะกันมากว่า เรื่อง 8 ปีเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่จริงแล้ว เป็นเรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ เอง ซึ่งถ้าท่านนับเลขถูก 1-8 ท่านก็นับ แล้วจะรู้ว่าควรจบที่ไหน เมื่อรู้ว่าจบที่ไหนก็ให้ดูที่ข้อกฎหมาย ดูที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าที่บัญญัติเรื่องนี้เพราะอะไร 

หากดูจากเจตนารมณ์ของกฏหมายแล้ว จะรู้ได้ว่า พล.อ. ประยุทธ์ นั่นแหละที่จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง อย่าให้เป็นภาระของศาลรัฐธรรมนูญ หรือภาระของประชาชนที่ต้องออกมาแสดงความแตกต่าง และอาจนำไปสู่การปะทะกันทางความคิด แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยังคิดไม่ได้ หรือไม่มีสำนึกในเรื่องนี้ นั่นจึงจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ 

"ต้องเอาให้ชัดว่าคนแรก หน้าที่แรกต้องเป็นพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งการใช้ศาลมาตัดสินคน เป็น กระบวนการที่คนพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปศาลจะทำหน้าที่ ก็ต่อเมื่อคนพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าคนพูดคุยกันรู้เรื่อง ศาลก็จะไม่ต้องทำหน้าที่ จึงขอฝากสังคมและฝากพล.อ.ประยุทธ์ ด้วย" สุทิน กล่าว

สุทิน ยังกล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมิให้เกิน 8 ปี ชัดเจนว่า เพื่อไม่ให้เกิดการอยู่ต่อเนื่องยาวนานเกินไป อาจเกิดความขัดแย้งและเกิดวิกฤติการเมือง แต่เมื่อมาดูข้อเท็จจริงว่าวันนี้ครบ 8 ปีแล้วหรือยัง คงไม่ต้องถามว่านับเมื่อไหร่ และวันนี้เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือยัง จะเกิดวิกฤติทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าก็มีท่าทีที่จะเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น สิ่งที่คนเขียนกฎหมายมีความกังวล ดูแล้วมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง และตนมองว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ คงคิดเองได้ อย่าให้เป็นภาระของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเป็นภาระของประชาชน อีกทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี รัฐบุรุษก็เคยทำเป็นตัวอย่างแล้ว

สุทิน กล่าวว่า ดูท่าแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ทำแบบ พล.อ.เปรม และโยนให้เป็นเรื่องของศาล ที่ผ่านมาตนให้ความเห็นมาตลอดว่าไม่อยากให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องคิดเองได้ แต่ตนก็เคารพเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นควรต้องยื่นเรื่อง

“ท่านนับเลข 1-8 ได้หรือนับไม่ได้ ก็สุดแท้แล้วแต่อธิบาย ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของศาล” สุทิน กล่าว

สุทิน กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยืนยันมติที่จะยื่นเรื่องในวันที่ 17 ส.ค.นี้ แต่ก็คงต้องดูภาคประชาชนด้วยว่าจะมีการเสวนาแลกเปลี่ยนทางความคิดให้ความรู้ในสังคมอย่างไร หากไปยื่นเรื่องจะเป็นการปิดโอกาสภาคประชาชนหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวมองว่ายังไม่จำเป็นต้องยื่น