วันที่ 20 ก.ย. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงการครบรอบ 16 ปี การรัฐประหาร 19 กันยาฯ ว่า หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารในวันนั้นประเทศไทยจะพัฒนาไปถึงไหน ประเทศไทยในขณะนั้นที่กำลังจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเซีย แต่ 16 ปีให้หลัง กลับต้องกลายเป็นเห็บสยามในวันนี้ ความภูมิใจ และความมั่นใจของคนในประเทศต่างกันอย่างสิ้นเชิง บทเรียนนี้สร้างความเจ็บปวดให้กับประเทศไทยและคนไทยจนถึงปัจจุบัน
ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รักษาการนายกฯ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังใจจดจ่ออยู่กับวันที่ 30 ก.ย. 2565 ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินชี้ขาดวาระ 8 ปี แต่ปัญหาของประเทศรอไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันประชาชนลำบากกันอย่างมาก จากราคาข้าวของที่แพงขึ้น เงินเฟ้อพุ่ง เงินทองหายาก ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง หาเงินไม่พอประทังชีวิต ต้องมาเจอกับค่าไฟฟ้าที่จะแพง รวมถึงก๊าซหุงต้ม และน้ำมันที่แพงขึ้นอีกด้วย
พิชัย กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าจะพุ่งขึ้นมากจากหน่วยละ 4.00 บาท เป็น 4.72 บาท สาเหตุมาจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลที่ต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่งสูง เพราะต้องนำเข้าก๊าซ LNG ที่ราคาแพงเข้ามา อีกทั้งยังมีการให้ใบอนุญาตเกินความต้องการใช้สูงสุดไปถึง 50% ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมมาก การที่รัฐต้องออกมาตรการที่ใช้เงิน 9,000 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือประชาชน ก็เป็นการช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลสร้างไว้เองจะมาอ้างเป็นบุญเป็นคุณกับประชาชนไม่ได้
พิชัย กล่าวต่อว่า แนวโน้มราคาไฟฟ้ายังมีโอกาสขึ้นอีกจากหนี้ของ กฟผ. กว่าแสนล้านบาทที่ยังสูงมาก นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับลงมาแล้ว แต่ราคาน้ำมันดีเซลยังไม่ปรับลงเพราะต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันที่ติดลบมาก เพราะการบริหารที่ผิดพลาดไม่ลดภาษีน้ำมันดีเซลในเวลาที่เหมาะสม
พิชัย ยังได้เรียกร้องไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รักษาการนายกฯ ให้เร่งช่วยทำใน 3 เรื่องเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ได้แก่
1. ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้รัฐบาลได้เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา มาเป็นเวลานานแล้ว ปรากฎว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. พลังงาน ได้ออกข่าวชี้แจงว่าได้เริ่มกลับมาเจรจากับกัมพูชาแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และอยากให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะประเทศไทยจะได้ประโยชน์สูงสุด นอกจากจะได้ก๊าซในราคาถูกแล้ว เพราะไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซในอ่าวไทยหรือจากเมียนมาร์ราคาจะอยู่เพียงหน่วยละ 2-3 บาท ถ้าไฟฟ้าผลิตจากน้ำมันเตาหรือน้ำมันดีเซลราคาไฟฟ้าจะอยู่หน่วยละ 6 บาท และถ้าผลิตจากก๊าซ LNG ราคาไฟฟ้าจะพุ่งไปถึง 10 บาทเลย นอกจากราคาไฟฟ้าจะถูกลงแล้ว รัฐยังจะได้ค่าภาคหลวงปีละเป็นแสนล้านบาทเพื่อมาทำสวัสดิการกลุ่มเปราะบาง และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ก๊าซที่ขุดได้ในพื้นที่ทับซ้อนจะเป็นก๊าซเปียก (Wet Gas) ที่สามารถแยกส่วนผสมของก๊าซนำมาใช้กับธุรกิจปิโตรเคมีได้ โดยประเทศไทยมีโรงแยกก๊าซถึง 6 โรง และมีธุรกิจปิโตรเคมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 6-20 เท่า และรัฐยังจะได้ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ จากธุรกิจต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้จะเป็นกาารเจรจาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์แหล่งพลังงานเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงปัญหาดินแดนแต่อย่างใด
2. อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐเดือนสิงหาคมยังอยู่ที่ 8.3% ซึ่งสูงมาก ดังนั้นธนาคารกลางของสหรัฐคงจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างแรงอีกครั้งในไม่นานนี้ โดยน่าจะขึ้นอีก 0.75% เป็นครั้งที่ 3 และเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะสูงถึง 4% และอาจจะขึ้นอีกในปีหน้า และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะอยู่ในระดันสูงแบบนี้ไปนาน ซึ่งจะกดดันทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง และ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เงินทุนไหลออก เพราะปัจจุบันเงินทุนก็ไหลออกกันอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนที่ประเทศไทยจะต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงตามบ้าง พลเอกประวิตร และรัฐบาลจะต้องเตรียมตัวและเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ให้ลดลงก่อน เพราะหากดอกเบี้ยพุ่งขึ้นอีก การแก้ไขหนี้จะยิ่งทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
3. ในภาวะน้ำท่วมหนักนี้ ที่ปัจจุบันมีน้ำท่วมแล้ว 20 กว่าจังหวัด และยังมีแนวโน้มที่จะแย่ลง รัฐบาลควรต้องรื้อระบบการบริหารจัดการน้ำในอดีตขึ้นมาทำใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหาที่ค้างอยู่มา 8 ปีแล้ว มิเช่นนั้นประเทศไทยก็จะเจอปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง แบบนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ปัญหาที่ กทม. น้ำท่วมจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะพื้นดินของ กทม. ต่ำลง รัฐบาลจะต้องมีแผนใหญ่ในการบริหารจัดการน้ำท่วมเหมือนในประเทศที่เจริญแล้วและประสพปัญหานี้ดำเนินการ เช่น ในประเทศเนเธอแลนด์ เป็นต้น
พิชัย เสริมว่า 3 เรื่องนี้ควรต้องรีบดำเนินการเพราะจะเป็นประโยชน์กับประเทศและจะช่วยประชาชนได้อย่างมากในระยะสั้นและในระยะยาวเพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทย ซึ่งยังมีเรื่องต่างๆต้องทำอีกมาก ซึ่งจะเป็น เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส ในรูปแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย การปรับเปลี่ยนประเทศเป็นระบบดิจิตอล (Digital Transformation) เพื่อสร้างงานและสร้างธุรกิจสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและลดการทุจริตคอรัปชั่น การพัฒนาภาคการเกษตรด้วยระบบ Ai การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาความสามารถแข่งขันของไทย และอีกหลายเรื่อง ซึ่งพรรคเพื่อไทยพร้อมแล้วที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย