ไม่พบผลการค้นหา
พรรคเพื่อไทยประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.-สมาชิกพรรค เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง ด้าน 'ชัชชาติ สิทธิพันธุ์' ชี้ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลต้องเข้าใจปัญหาและสร้างโอกาส ขณะที่ 'คุณหญิงสุดารัตน์' ลั่นพร้อมนำเพื่อไทยนำพาประเทศพ้นวิกฤติความล้มเหลว

พรรคเพื่อไทยเรียกประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สมาชิกพรรค เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเลือกตั้ง โดยการประชุมแกนนำพรรคจะได้นัดแนะ ทำความเข้าใจการทำงาน ในภาพรวม การทำงานในระดับพื้นที่ ซึ่งบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความคึกคัก อดีต ส.ส. ว่าที่ผู้สมัครและสมาชิกพรรค เดินทางเข้าร่วมการประชุมตั้งแต่ช่วงเช้า 

เช่นเดียวกับแกนนำพรรค อาทิ พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย, รวมถึงนายชัยเกษม นิติศิริ และ นายนพดล ปัทมะ เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง

เพื่อไทย

ก่อนการประชุมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ เจ้าหน้าที่พรรคได้เปิดเพลง "พรรคเพื่อไทยหัวใจเพื่อเธอ" ซึ่งจะเป็นเพลงที่ใช้รณรงค์ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2562 และจะใช้เปิดในเวทีปราศรัยหาเสียงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นจังหวะที่มีความเร้าใจและสะท้อนบทบาทหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยในการทำงานที่ผ่านมาและความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานต่อไปในอนาคต 

จากนั้นได้เปิดวิดีทัศน์ความยาว 1 นาที 30 วินาที สะท้อนข้อเท็จจริงของประเทศโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้องความเหลื่อมล้ำปัญหาสังคมและยาเสพติด ซึ่งเป็นประเด็นที่พรรคเพื่อไทยเตรียมการจะแก้ไขในเรื่องเหล่านี้

โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ในขณะนี้กันแล้วซึ่งสอดคล้องกับการที่ได้ไปรับสมัครสมาชิกพรรค และได้พบปะประชาชนมาทั่วทุกภาค ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน ตั้งแต่กลางสีลม ยันขอนแก่น เชียงใหม่ ไปจนถึงภูเก็ต ว่า เศรษฐกิจแย่มาก ค้าขายไม่ได้​ มีแต่หนี้สินท่วมหัว จึงเป็นความจริงอันน่าเศร้า​ ได้สร้างความทุกข์อย่างสาหัสให้กับพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ จากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ​

"ดิฉัน ในฐานะคนที่เคยทำงานมากกว่า 26 ปี​ รู้ว่าปัญหาของประเทศที่รออยู่ข้างหน้า ท้าทายอย่างยิ่ง​ รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้สาหัสแค่ไหน​ และจะทำให้คนไทยทำมาหากินกันอย่างยากลำบากยิ่งขึ้นอีกแค่ไหน" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า​ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเหล่านี้​ เราจะแก้ไขได้สำเร็จ​ โดยจะใช้เวลาไม่นาน เพราะเราบริหารจัดการเป็น เรามีแนวคิด มีประสบการณ์ ที่สั่งสมมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย บ่มเพาะจนเป็นปรัชญา และหลักการ การทำงานของพรรคเพื่อไทย เราคิดเป็น ทำเป็น และทำสำเร็จมาแล้ว เราจึงเป็นพรรคการเมือง​ ที่มีวิธีแก้ไขปัญหาให้กับประเทศเสมอ​ เป็น “Party with Solutions”

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าทุกครั้งที่เราได้มีโอกาสทำงานเป็นผู้บริหารประเทศ​ เราทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นทุกครั้ง วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ในยุคต้มยำกุ้ง​ ที่ค่าเงินบาทตกลงไปถึง 52 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นร่วง 59.3 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจเจ๊ง จนยอดหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ พุ่งขึ้นเป็น 2.5 ล้านล้านบาท สถาบันการเงินปิดตัวลง 67 แห่ง คนจนเพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน

ในตอนนั้น เราเข้ามาบริหารบ้านเมืองเพียง 2 ปี ด้วยการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด เราใช้เวลาเพียง 6 เดือน เราสามารถตั้ง “กองทุนหมู่บ้าน​“ เราใช้เวลาเพียง 6 เดือน เราเริ่มต้นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงสบประมาท

"พวกเรานักบริหารพรรคเพื่อไทย เราเข้าใจปัญหา​ เข้าใจพลวัตที่เกิดขึ้น​ในโลกใหม่ เราบริหารจัดการเป็น และเรามีทีมงานนักบริหารมืออาชีพครบทุกด้าน อยู่เบื้องหน้าท่าน ณ​ ขณะนี้เราจึงขอให้ความมั่นใจว่า เพื่อไทย​เรามองเห็นทางออก​ และมีวิธีบริหารจัดการ​ เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้​ แม้ปัญหาจะถูกสะสม​จน “ยากที่จะแก้”​ แต่ “ไม่ใช่เรื่องยาก" สำหรับเราในการแก้ไข" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ขณะเดียวกัน เราคิดต่างจากสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำ ที่ยิ่งทำคนส่วนใหญ่ยิ่งจนลง มีเพียงคน 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รวยขึ้น จนเกิดภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” ทำให้ประเทศไทยมีความ “เหลื่อมล้ำ” สูงอย่างมาก เราจะทำการ “Re-Matching Resources” ของประเทศใหม่ โดยการใช้งบประมาณอย่างชาญฉลาด ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน เราจะไม่ใช้งบเยอะ แต่เลอะเทอะ เราจะลงทุน เพื่อให้เกิดรายได้ และทรัพย์สินใหม่

"เราจะแก้หนี้ให้คนไทยด้วยรายได้ ไม่ใช่แก้หนี้ด้วยหนี้อีกต่อไป เราจะบริหารงบประมาณให้มีการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจหลาย ๆ รอบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ให้ไปแล้วไปหยุดอยู่ที่กลุ่มทุนใหญ่เท่านั้น เราจะใช้ความสามารถในเวทีโลก เพื่อผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น เหมือนอย่างที่เราเคยทำสำเร็จมาแล้วทั้งยาง และข้าว

เพื่อไทย


ชัชชาติ ชี้ ศก.ไทยทรุด จากความล้มเหลวของรัฐบาลไร้ความมืออาชีพ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจ ได้แก่

1. หนี้คนไทยท่วมหัว: หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น 1.79 ล้านล้านบาท จากระดับ 10.55 ล้านล้านบาทในปี 2557 สู่ระดับ 12.34 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน

2. หนี้ธุรกิจท่วมตัว: หนี้เสีย SMEs เพิ่มสูงขึ้น 9 หมื่น 1 พันล้านบาท จากระดับ 1.38 แสนล้านบาทในปี 2557 สู่ระดับ 2.29 แสนล้านบาทในปัจจุบัน

3. เกษตรกรทุกข์ยาก: หนี้เสียเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้น 1.79 หมื่นล้านบาท จากระดับ 4.09 หมื่นล้านบาทในปี 2557 สู่ระดับ 5.88 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน

4. นักท่องเที่ยวหาย รายได้หด: เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตเกิดขึ้นในเดือน ก.ค. ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนให้หลัง (ส.ค.-ต.ค.) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 380,000 คน ทำรายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 1 หมื่น 5 พันล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

5. เงินทุนไหลออกนอกประเทศไม่หยุด: ปี 2559 ไหลออก 3.65 แสนล้านบาท ปี 2560 ไหลออก 3.95 แสนล้านบาท รวมแค่ 2 ปี เป็นเม็ดเงินสูงถึง 7.6 แสนล้านบาท

6. สู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้: ก่อนการรัฐประหาร (2556) ต่างชาติเลือกลงทุนในไทยเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน มูลค่าการลงทุนสูงถึง 1.59 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามหลังแค่สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แต่หลังรัฐประหาร (2560) ไทยตกไปอยู่อันดับที่ 6 ของอาเซียน มูลค่าการลงทุนหดตัวลงเกือบครึ่ง คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 8.04 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถูกเวียดนาม ฟิลลิปปินส์ และมาเลเซียแซงหน้าไปแล้ว

7. ใช้เงินเป็น แต่หาเงินไม่เป็น: ตั้งแต่หลังรัฐประหาร ภาครัฐมีรายจ่ายเพิ่มสูงขึ้นราว 4 แสน 4 หมื่นล้านบาท แต่กลับล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนักไปกว่านั้น หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงกลับเพิ่มสูงขึ้น 1.7 ล้านล้านบาท จากระดับ 2.89 ล้านล้านบาทในปี 2557 สู่ระดับ 4.6 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน

8. ปัญหายาเสพติดหนักหน่วงรุนแรง: ยาเสพติดแพร่ระบาดในหมู่บ้านและชุมชน 24,282 แห่ง คิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ของหมู่บ้านทั้งประเทศ 40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดยาเสพติดเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี เกือบ 75 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้มีอาชีพรับจ้าง แรงงาน และเกษตรกร

ซึ่งนายชัชชาติ ระบุว่า จุดอ่อนที่เกิดขึ้น เกิดจากเศรษฐกิจที่แข็งบนอ่อนล่าง หมายถึงมีความเหลื่อมล้ำสูงคนรวยรวยขึ้น แต่คนจนจนลง, แข็งนอกอ่อนใน คือ เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกเสียเป็นส่วนใหญ่

ขณะที่รัฐบาลไม่เข้าใจภาพรวมของการบริหารประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วที่สร้างเพื่อมุ่งไปสู่สนามบินอู่ตะเภา แทนที่จะเชื่อมภาคตะวันออกกับกัมพูชาและเวียดนาม, และการบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ เช่น บัตรคนจน ซึ่งเป็นการแจกเงินที่ส่งผลระยะสั้น ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว, หรืออย่างยุทธศาสตร์าติ 20 ปีที่จะเริ่มล้าหลังไปเรื่อยๆ

"ยุคนี้คือ ยุค Deglobalization ยุคตัวใครตัวมัน ดังนั้นเราจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมีทีมงานที่เข้าใจปัญหาและทำเป็น" ชัชชาติ กล่าว