สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งศาสจักรคาทอลิก ตรัสประณามการรุกรานยูเครน ณ บริเวณจัตุรัสเซนส์ปีเตอร์ ในการสวดมนต์อวยพรเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 มี.ค.) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประณามการรุกรานยูเครนที่รุนแรงเป็นครั้งแรกจากทางสมเด็จพระสันตะปาปา ถึงแม้ว่าจะมิได้ตรัสถึงชื่อ “รัสเซีย” แต่อย่างใด
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเรียกการรุกรานยูเครนว่าเป็น “การรุกรานด้วยอาวุธที่มิอาจยอมรับได้” และการรุกรานดังกล่าวจะต้องยุติลง ทั้งนี้ ทรงประณามว่าการฆ่าเด็ก ประชาชนคนบริสุทธิ์ และพลเมืองผู้ป้องกันตัวเองไม่ได้เป็นการกระทำอัน “ป่าเถื่อน” และ “ไร้ซึ่งเหตุผลกลยุทธ์ใดๆ”
นอกจากนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกล่าวว่าการล้อมเมืองมารีอูปอล ซึ่งเป็น “เมืองมรณสักขี” หรือ เมืองที่เสียสละชีวิตเพื่อพระศาสนาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โดยชื่อเมืองมารีอูปอลของยูเครนถูกตั้งขึ้นตามพระนามของพระแม่มารี พระมารดาของพระเยซูของศาสนาคริสต์ทุกนิกาย ซึ่งหมายรวมถึงนิกายคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์ด้วย
ทั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเรียกร้องอีกครั้งเพื่อให้มี “การเปิดระเบียงมนุษยธรรมที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง” อีกครั้งในมารีอูปอล เพื่อที่ประชาชนจะสามารถอพยพหนีออกมาจากเมืองได้อย่างปลอดภัย “ในนามแห่งพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอท่าน หยุดการล้อมสังหารในครั้งนี้” สมเด็จพระสันตะปาปาทรงกล่าว พร้อมย้ำว่าเมืองต่างๆ ของยูเครนกำลังตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่จะ “กำลังล่มลงจนกลายเป็นสุสาน”
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเลี่ยงการเอ่ยชื่อถึง “รัสเซีย” มาโดยตลอด ทั้งนี้ ทรงใช้คำว่า “การรุกรานด้วยอาวุธ” และ “ไร้ซึ่งเหตุผลกลยุทธ์ใดๆ” เพื่อโจมตีถึงความชอบธรรมในการรุกรานยูเครนในครั้งนี้ของรัสเซียแทน
รัสเซียกล่าวอ้างถึงการรุกรานยูเครนว่าเป็น “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” ตั้งแต่เริ่มการรุกรานเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ในขณะที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงปฏิเสธการเรียกการรุกรานในครั้งนี้ตามรัสเซีย ก่อนจะทรงกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวไม่สามารถถูกจัดประเภทให้เป็น “เพียงแค่ปฏิบัติการทางการทหาร” แต่เป็นสงครามที่ปลดปล่อย "สายธารโลหิตและน้ำตา"
ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียกล่าวอ้างว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” ของตน ไม่ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาเพื่อเข้ายึดยูเครน แต่เป็นไปเพื่อการปลดอาวุธทางการทหาร และ “ถอนระบอบนาซี” ในยูเครน ที่กำลัง “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” คนชนชาติรัสเซียในทางภาคตะวันออกของยูเครน นอกจากนี้ รัสเซียอ้างว่าตนไม่ได้เล็งเป้าการโจมตีไปยังพลเมืองชาวยูเครนแต่อย่างใด
ที่มา: