ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 2569 เป็นต้นไป บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินการอยู่ในสหภาพยุโรปจะต้องมีตำแหน่งงานให้กับ “เพศที่ถูกละเลยโอกาส” ซึ่งมักเป็นเพศหญิง ในตำแหน่งพนักงานทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้บริหารไม่น้อยกว่า 40% นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังตั้งเป้าหมายให้บริษัทต่างๆ จะต้องมีพนักงานเพศหญิงตำแหน่งอาวุโสไม่น้อยกว่า 33% อีกด้วย
จากข้อมูลของสถาบันเพื่อความเท่าเทียมทางเพศแห่งยุโรปในปี 2564 มีพนักงานเพศหญิงถูกว่าจ้างในตำแหน่งบริหารทั่วทั้งสหภาพยุโรปคิดเป็น 30.6% หากแต่เป็นการคำนวณรวมจากสมาชิกของสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ โดยฝรั่งเศสมีพนักงานเพศหญิงในฝ่ายบริหารมากถึง 45.3% เกินจากที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ที่ 40%
จากการจัดอันดับที่มีฝรั่งเศสในอันดับแรก ยังมีอิตาล เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เบลเยียม และเยอรมัน ที่มีอัตราการจ้างพนักงานหญิงในฝ่ายบริหารอยู่ระหว่าง 36-38% ในขณะที่ฮังการี เอสโตเนีย และไซปรัส มีพนักงานหญิงที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหารไม่ถึง 1 ใน 10 ของทั้งหมด
“ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในหมู่ผู้บริหารบริษัทไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย” ลารา วอลเทอร์ส สมาชิกรัฐสภายุโรปจากเนเธอร์แลนด์พรรคสังคมนิยมกล่าว
“เราต่างรู้ว่าความหลากหลายในห้องประชุมนำมาซึ่งการตัดสินใจและผลลัพธ์ที่ดีกว่า โควตาดังกล่าวจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสร้างความหลากหลายและความเท่าเทียมในที่ทำงานในทิศทางที่ถูกต้อง” วอลเทอร์สกล่าวเสริม
เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว จะมีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าปรับ และหากการคัดเลือกคณะกรรมการบริษัทไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ศาลจะสามารถทำให้การคัดเลือกคณะกรรมการเป็นโมฆะได้ทันที โดยข้อกำหนดดังกล่าวจะไม่ถูกบังคับใช้กับบริษัทที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 250 คน
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรป ได้ยื่นเสนอโควตา 40% สำหรับพนักงานเพศหญิงมาตั้งแต่ปี 2553 แต่ร่างข้อบังคับดังกล่าวกลับถูกขัดขวางโดยเยอรมันและสหราชอาณาจักร
สำหรับสหราชอาณาจักร ข้อบังคับดังกล่าวถูกโต้แย้งโดยรัฐบาลผสมจากพรรคอนุรักษ์นิยม และเสรีนิยมประชาธิปไตยในขณะนั้น จากข้อคัดค้านว่าข้อบังคับดังกล่าวควรใช้ในแนวทางแบบสมัครใจมากกว่า ซึ่งช่วยให้สหราชอาณาจักรมีอัตราสัดส่วนการจ้างพนักงานหญิงอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุโรป โดยมีพนักงานหญิงคิด 39.1% ในฝ่ายบริหาร จากดัชนีชี้วัดของ FTSE100 ในปี 2565 ตามมาเป็นอันดับสองรองจากฝรั่งเศส
คณะกรรมาธิการยุโรปได้รื้อฟื้นร่างกฎหมายนี้ขึ้นมาอีกครั้งในปี 2563 หลังจากประเทศสมาชิกสำคัญเปลี่ยนท่าที “คณะกรรมาธิการยุโรปเคยได้เสนอข้อบังคับนี้มาแล้วเป็นเวลา 10 ปี ถึงเวลาแล้วที่จะเราจะต้องทลายข้อจำกัดต่างๆ มีผู้หญิงหลายคนที่มีศักยภาพมากพอที่จะทำงานในตำแหน่งสำคัญ และพวกเธอควรได้รับโอกาส” อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าว
ที่มา: