ปัจจุบันนี้ กรุงเคียฟของยูเครนยังคงอยู่ภายใต้ภาวะอันตราย เนื่องจากเมืองหลวงของยูเครนอยู่ในระยะการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซีย ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นชาติที่มอบความช่วยเหลือทั้งด้านการทหาร มนุษยธรรม ฯลฯ มากที่สุดในบรรดาชาติพันธมิตร
มีการพบภาพประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปรากฏตัวขึ้นบริเวณภายนอกอารามโดมทองคำนักบุญไมเคิล พร้อมกันกับ โวโลดีเมอร์ เซนเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ทั้งนี้ ทางการยูเครนได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ทั้งการปิดถนนตลอดจนทางเท้า
หลังจากพูดคุยกับเซเลนสกีและเยี่ยมชมสถานทูตสหรัฐฯ แล้ว ไบเดนได้เดินทางออกจากกรุงเคียฟในอีกหลายชั่วโมงต่อมา โดยแม้จะเป็นการเยือนในช่วงสั้นๆ แต่การเยือนของไบเดนเองเป็นหนึ่งในการเดินทางของประธานาธิบดีที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ จากการเดินทางของประมุขสหรัฐฯ ไปยังประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม และเมืองที่ตกอยู่ภายใต้การทิ้งระเบิดเป็นประจำ โดยปราศจากการปรากฎตัวของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเกราะคุ้มกันระหว่างการเยือน เช่น อิรักหรืออัฟกานิสถาน
ก่อนหน้านี้ ไบเดนเน้นย้ำมาตลอดว่า สหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือยูเครน "นานเท่าที่จะนานได้" แม้จะส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม และการให้การสนับสนุนจากประชาชนภายในประเทศ อีกทั้งสถานการณ์ของสงครามยังคงห่างไกลจากโต๊ะเจรจาสันติภาพใดๆ
ปัจจุบันนี้ รัฐบาลของไบเดนได้ส่งความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครน คิดเป็นมูลค่ารวมกันแล้วกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) นับตั้งแต่รัสเซียเข้ารุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ปีก่อน นับเป็นสมรภูมิของสงครามที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลให้คร่าชีวิตชาวยูเครนจนถึงตอนนี้ร่วมแสนราย นอกจากนี้ ไบเดนยังประกาศเตรียมมอบเงินช่วยเหลือยูเครนอีกครึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภายใต้การนำของไบเดนและชาติพันธมิตรตะวันตก องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ค่อยๆ เพิ่มการมอบความช่วยเหลือเป็นอาวุธให้แก่ยูเครนมากขึ้นเรื่อยๆ และในครั้งล่าสุด ชาติตะวันตกได้มอบคำสัญญาว่า พวกเขาจะมอบรถถังให้แก่ยูเครน เพื่อใช้ในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียต่อไป
แม้ในรอบปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้จะมีผู้นำจากหลายชาติ ที่ตัดสินใจเดินทางมาเยือนกรุงเคียฟด้วยตัวเอง แต่ไบเดนได้รักษาระยะห่างของตัวเอง จากความกังวลในประเด็นความปลอดภัย และความกลัวในการเข้าไปมีความขัดแย้งโดยตรงกับทั้งสองชาติ ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งของแหล่งพลังงานนิวเคลียร์อันดับต้นๆ ของโลก โดยอาศัยการส่งเจ้าหน้าที่อาวุโสข้างตัวในการเยือนยูเครนแทน ทั้งนี้ จิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐฯ ได้เดินเยือนยูเครนจากทางโปแลนด์ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงวันแม่เดือน พ.ค.ปีก่อน
การเดินทางเยือนกรุงเคียฟของไบเดนในครั้งนี้ เป็นการเดินทางอย่างลับ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือนโปแลนด์จากกรุงวอชิงตันดีซีในช่วงเย็นของวันจันทร์ โดยไบเดนย้ำว่า การเยือนกรุงเคียฟในครั้งนี้เป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สหรัฐฯ ยังคงให้การสนับสนุนอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน ซึ่งรัสเซียได้เข้ามาละเมิดตั้งแต่ปี 2557 เมื่อปูตินประกาศการผนวกพื้นที่ไครเมียและดอนบาสเข้าเป็นของรัสเซีย
ในแถลงการณ์ของทำเนียบขาว ไบเดนระบุว่า “ตอนที่ปูตินเริ่มรุกรานเมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว เขาคิดว่ายูเครนอ่อนแอและตะวันตกถูกแบ่งแยก เขาคิดว่าเขาสามารถอยู่ได้นานกว่าพวกเรา” ไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาวย้ำว่า “แต่เขาคิดผิด”
ที่มา: