วันที่ 15 มี.ค. 2566 ที่พรรคเสรีรวมไทย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยนำแถลงนโยบายด้านการเมืองชุดที่ 3 “ปฏิรูปกองทัพ” พร้อมด้วย สมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย วิรัตน์ วรศสิริน เลขาธิการพรรคเสรีรวมไทย บุญส่ง ชเลธร ผู้อำนวยการเลือกตั้ง และสมหมาย บุญเฮง กรรมการบริหารพรรค โดยมีสาระสำคัญคือ การปรับโทษของการรัฐประหาร ความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณของกองทัพ ปรับลดขนาดกองทัพ และย้ายที่ตั้งของกองทัพออกจากรุงเทพฯ
เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า บ้านเมืองมีปัญหาเพราะระบบราชการที่หมักหมมมานาน เราต้องการปฏิรูปส่วนราชการทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะทหารอย่างเดียว ศาล ตำรวจ อัยการ เพราะว่า ตอนนี้ทุกกระทรวงใช้งบประมาณ หรือบริหารงบบกพร่องกันมาก สมัยตนเป็นผู้บัญชาการตำรวจ (ผบ.ตร.) ไม่ได้คิดถึงประเทศชาติ คิดแค่หน่วยงาน ทำอย่างไรให้กรมตำรวจเจริญเยอะๆ แต่ส่วนทบวงกรมอื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อทุกหน่วยคิดแบบนี้ก็เป็นปัญหาของประเทศ งบประมาณก็มากเกินกว่าภาษีที่เก็บได้ เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กู้ทุกปี การบริหารประเทศรัฐบาลไม่เข้าใจว่าจะต้องประหยัด แต่รัฐบาลกลับฟุ่มเฟือย ใช้เงินของประชาชนโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นนโยบายของพรรคเสรีรวมไทยต้องการรีดไขมันออกไปจากทุกกระทรวงให้หมด อะไรที่มีส่วนเกินไม่จำเป็นต้องเอาออก
เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกองทัพนั้น เมื่อทหารยึดอำนาจเข้ามาทำให้ประเทศเสียหาย แน่จริงก็ควรลงมาเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ ส่วนกองทัพต้องโปร่งใสทั้งเงินในระบบ และเงินนอกระบบราชการ งบประมาณต่างๆ กลับนำไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ดูสถานการณ์ของประเทศว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงต้องมีความจำเป็นต้องแก้ไข กองบัญชาการทหารสูงสุดไม่มีความจำเป็น เพราะมี 3 เหล่าทัพอยู่แล้ว เอานายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ได้ แต่นี่เป็นการใช้งบประมาณตั้งหน่วยงานต่างๆ ขึ้นมาเพื่อปูนบำเหน็จ อีกทั้งต้องมีการย้ายกองทัพให้อยู่ห่างจากประชาชน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน
ด้าน สมชัย กล่าวว่า เสรีรวมไทยคิดว่าอะไรที่มีปัญหาจะต้องได้รับการแก้ไข เรามองปัญหาของการเมืองไทยเป็นวังวน เดี๋ยวก็มีการเลือกตั้ง และรัฐประหาร 91 ปีของประชาธิปไตยไทยมีรัฐประหารถึง 13 ครั้งทำให้ประเทศไทยขาดโอกาส และมีการฉีกรัฐธรรมนูญ โดยจะแก้กฎหมายอาญา ม.113 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐในราชอาณาจักร ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจแห่งรัฐธรรมนูญเป็นความผิดฐานกบฏต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และเพิ่มไปว่า รัฐประหารไม่มีอายุความ และไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ สามารดำเนินการฟ้องร้องกับผู้ทำรัฐประหารได้
ส่วน การปฏิรูปกองทัพ คือ กองทัพต้องมีความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณทั้งเงินใน และเงินนอก โดยเงินในนั้นกองทัพตั้งงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธซึ่งราคาสูงกว่าปกติ และขาดความจำเป็น อีกเรื่องหนึ่งคือ คุณได้งบประมาณ และคุณไปเปลี่ยนแปลงรายงานงบประมาณประจำปี จนทำให้นำเงินไปซื้อรถประจำตำแหน่งแบบนี้ไม่ถูกต้อง สภาต้องสามารถกำกับดูแลได้ ส่วนเงินนอกคือ รายได้ของธุรกิจที่ทหารเข้าไปมีส่วนร่วมเช่น สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ สนามมวย หรือสนามกอล์ฟ ฯลฯ โดยสภาจะต้องสามารถเรียกตรวจสอบได้
กองทัพต้องเล็กลง คือ จิ๋วแต่แจ๋ว ทำให้พิจารณาตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกินตำแหน่ง หรือทำงานจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องลดนายพล ขณะเดียวกันการเกณฑ์ทหาร นโยบายของพรรคเสรีรวมไทยชัดเจนว่า เราต้องยกเลิกเกณฑ์ทหาร สิ่งนี้ไม่มีความจำเป็น และเปิดรับตามสมัครใจ การที่กองทัพเล็กลงไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มขีดสามสามของกองทัพ ต่อมาคือ วันนี้มีความจำเป็นแล้วที่จะต้องย้ายกองทัพไปที่ต่างๆ นอกจากกรุงเทพฯ ทำให้มีพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น เช่น สวนสาธารณะ หรือพื้นที่ส่วนกลาง
ด้าน บุญส่ง กล่าวว่า ปัญหาของการพัฒนาประเทศคือกองทัพที่เข้ามาขัดขวาง และทำลายระบอบประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้งผ่านการทำรัฐประหาร และการใช้อำนาจแต่เพียงคณะเดียวไม่สามารถทำได้ เขาก็จะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา นั่นคือ รัฐธรรมนูญ 2560 ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวก และกดทับประชาชน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปฏิรูปกองทัพให้เป็นกองทัพ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่ วิรัตน์ กล่าวเสริมในประเด็นที่ต้องการย้ายกองทัพบกไปอยู่ที่ จ.ลพบุรี กองทัพอากาศ ที่จ.นครสวรรค์ กองทัพเรือ ที่จ.ชลบุรี เพราะเชื่อว่าประชาชนจะไปซื้อที่อยู่อาศัยใกล้ตัวเมืองมันลำบากมาก เพราะราคาที่ดินแพง ถ้าเราย้ายทหารออกจากกรุงเทพฯ ได้ ก็สามารถมาสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกให้ประชาชนได้อยู่ในเมืองเพียง 500,000-1,000,000 บาท แต่ว่าทุกคนเมื่อการเป็นอยู่ดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นมา