เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2566 ที่พรรคเพื่อชาติ มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารในพรรคหลายตำแหน่งด้วยกัน อาทิ ตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ตำแหน่งเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ และตำแหน่งโฆษกพรรคเพื่อชาติ
ซึ่งที่ประชุมเห็นตรงกันว่าตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ รอ.ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ มีความเหมาะสมที่จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ก็ได้ ปวีย์ภัทร วัฒนศิริเศรษฐ เข้ามาทำหน้าที่พ่อบ้านให้กับพรรคเพื่อชาติ ในขณะที่ตำแหน่งโฆษกประจำพรรคเพื่อชาติ ก็ได้ ชุติมา กุมาร ซึ่งเป็นอดีตผู้ประกาศข่าวการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย มาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับพรรคเพื่อชาติ
โดยหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว ชุติมา ระบุว่า ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าพรรคเพื่อชาติจะเงียบหายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งซึ่งก็เป็นเพราะภายในพรรคมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้นซึ่งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้พรรคเพื่อชาติดีขึ้นกว่าเดิม และวันนี้พรรคเพื่อชาติได้กลับขึ้นมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง และยังคงเป็นพรรคเพื่อชาติที่ยังคงมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่
และย้ำว่ายังคงมีจุดยืนในเรื่องของประชาธิปไตยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าที่ผ่านมาจะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารหรือบุคลากรภายในพรรคที่ได้ปรับเปลี่ยนโยกย้ายออกไปบางส่วนแต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบหรือทำให้มุมมองของพรรคเพื่อชาติในด้านประชาธิปไตยจะอ่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พรรคเพื่อชาติยังคงตั้งมั่นและยึดมั่นกับอุดมการณ์และยังคงมองเรื่องของประชาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญที่พรรคเพื่อชาติต้องการสร้างสังคมประชาธิปไตยให้ดีขึ้น และยังคงจะเดินหน้ายกเลิกอำนาจนอกระบบที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเพราะนี่คืออุดมการณ์และจุดยืนของพรรคเพื่อชาติมาโดยตลอด
ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ส่วนตัวถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีอายุน้อยที่สุด แต่ว่าอายุและประสบการณ์ที่มีก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะขัดขวางความตั้งใจที่จะทำงานด้านการเมืองของตนเลยแม้แต่นิดเดียว และครั้งนี้ความตั้งใจของตนก็ไม่ได้จะเข้ามาสานต่อเพียงแค่งานด้านการเมืองเท่านั้นแต่จะทำในเรื่องของกีฬาควบคู่กันไปด้วย
เพราะที่ผ่านมาตนเคยทำหน้าที่ควบคุมทีมฟุตบอลเชียงรายยูไนเต็ดจนสามารถคว้าแชมป์ไทยลีกมาได้เมื่อปี 2019 และส่วนตัวก็ให้ความสำคัญกับทั้งเรื่องงานการเมืองและเรื่องกีฬาที่ตนตั้งใจว่าจะเดินหน้าทำทั้งสองเรื่องควบคู่ไปด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องงานการเมืองนั้นขอให้ทุกคนรอติดตามนโยบายของพรรคเพื่อชาติที่จะทยอยออกมาให้ประชาชนได้รับรู้ว่าพรรคเพื่อชาติจะเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนด้วยนโยบายอะไรบ้าง แต่อยากให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าพรรคเพื่อชาติพร้อมที่จะเข้ามาดูแลและเป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
ส่วนสาเหตุที่พรรคเพื่อชาติตั้งใจมาปักหมุดที่ใจกลางกรุงเทพมหานครบริเวณซอยสุขุมวิท 12 และเปิด Live Policy หรือที่เรียกว่าศูนย์นโยบายมีชีวิต ก็เพื่อที่จะใช้เป็นสื่อกลางสื่อสารและเผยแพร่นโยบายของพรรคเพื่อชาติที่จะไม่ได้อยู่แค่ในแผ่นกระดาษเท่านั้นแต่ศูนย์นโยบายมีชีวิตนี้จะเป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนที่จะสามารถเข้าไปสัมผัสถึงนโยบายของพรรคเพื่อชาติ ที่จะทำออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและประชาชนสามารถจับต้องได้ รวมถึงศูนย์นโยบายมีชีวิตนี้ก็ยังจะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่พรรคเพื่อชาติเปิดไว้สำหรับแลกเปลี่ยนและสื่อสารกับพี่น้องประชาชนด้วย