นักวิทยาศาสตร์ชี้ ภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในอนาคต เพราะระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจะนำไปสู่การทำลายสายเคเบิลที่เชื่อมต่อ เครือข่ายอินเทอร์เนตในพื้นที่สำคัญของโลก
ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่มากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลกมีปัญหาภายในปี 2033 หากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกว่า 6 ฟุต ผลวิจัยเปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนกำลังคุกคามการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจะนำไปสู่การทำลายสายเคเบิลที่เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เนตในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งในสหรัฐฯ ที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด
รามกริชนัน ดูไรราจัน นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ประเมินว่า สายเคเบิลไฟเบอร์ออฟติกกว่า 4,067 ไมล์จะจมอยู่ใต้น้ำและศูนย์ควบคุมฮาร์ดแวร์จะถูกน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันใน 15 ปีข้างหน้านี้
นั่นเป็นเพราะสายเคเบิลแบบไฟเบอร์ออฟติกที่ว่าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถกันน้ำได้เหมือนกับสายเคเบิลแบบข้ามมหาสมุทร ซึ่งจะรองรับการส่งผ่านข้อมูลระหว่างทวีป และเนื่องจากศูนย์ควบคุมเหล่านี้มักจะตั้งอยู่บริเวณใกล้ชายฝั่งเพราะต้องเป็นจุดเชื่อมต่อของสายเคเบิลแบบข้ามมหาสมุทร หมายความว่าหากศูนย์ควบคุมถูกน้ำท่วมเสียหาย สายเคเบิลแบบข้ามมหาสมุทรที่เชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุม แม้ถูกออกแบบมาให้กันน้ำ ก็จะใช้งานไม่ได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่ระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ อย่าง สึนามิ เฮอร์ริเคน หรือแผ่นดินไหวบริเวณชายฝั่ง ที่เป็นผลจากภาวะโลกร้อนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ในงานวิจัยดังกล่าวว่ายังระบุว่า จากการเปรียบเทียบโครงสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ต่างๆ ของสหรัฐฯกับระดับการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชายฝั่งที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตหนาแน่นอย่างบริเวณ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ซีแอตเทิลและลอสแองเจลิส เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงจากการหยุดทำงานของระบบอินเทอร์เน็ตมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ให้บริการอย่าง CenturyLink, Inteliquent และ AT&T นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด
ขณะเดียวกัน ภัยธรรมชาติที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนก็ได้ส่งผลกระทบให้ระบบอินเทอร์เน็ตและการใช้งานอินเทอร์เน็ตขัดข้องมาแล้ว โดยในปี 2555 เหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ ได้ทำให้เกิดปัญหาอินเทอร์เน็ตขัดข้องทั่วทั้งสหรัฐฯ หลังจากที่ศูนย์โทรคมนาคมในนิวยอร์กถูกน้ำท่วม และเมื่อปีที่ผ่านมาประชาชนเกือบ 1 ล้านคนในฟลอริด้าไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้หลังจากที่พายุเฮอร์ริเคนเออร์มาพัดถล่มบริเวณดังกล่าว
ความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศโลกเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยขณะนี้คลื่นความร้อนจัดปกคลุมทั่วประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้อุณหภูมิในหลายพื้นที่ของเกาหลีใต้สูงกว่า 35 ถึง 40 องศาเซลเซียส ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 10 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากความร้อนในปีที่แล้วถึงเท่าตัว และยังมีประชาชนที่ป่วยจากผลของความร้อนสูงกว่า 1,500 คน นอกจากนี้ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา บางพื้นที่ของเกาหลีใต้ เช่น ในเมืองปูซาน บ้านเรือนหลายร้อยหลังต้องขาดไฟฟ้าใช้หลายชั่วโมง เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าในการเปิดเครื่องปรับอากาศกันมากขึ้น จนการไฟฟ้าเกาหลีใต้ผลิตไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ขณะที่คลื่นความร้อนในญี่ปุ่นได้คร่าชีวิตไปแล้วกว่า 30 ราย ทำให้เกิดความกังวลถึงมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 2020 ที่จะจัดในกรุงโตเกียวในช่วงหน้าร้อน ว่าอากาศอาจจะร้อนเกินไปจนอันตรายต่อทั้งนักกีฬาและคนดู โดยตอนนี้ก็มีการคิดวิธีรับมือกับปัญหาอากาศร้อนจัดด้วย เนื่องจากหน้าร้อนของญี่ปุ่น นอกจากจะมีอุณหภูมิสูงถึงระดับ 37-39 องศาแล้ว ยังมีความอบอ้าวที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวอีกด้วย และบางครั้งรุนแรงถึงขึ้นทำให้เสียชีวิตได้ อย่างในปีนี้ที่มีคนเสียชีวิตแล้วกว่า 30 ราย และเข้าโรงพยาบาลอีกกว่า 10,000 คน โดยการแข่งขันโอลิมปิกปี 2020 จะจัดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน ไปจนถึง 9 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่คาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงถึง 37 องศาเซลเซียส และมีความชื้นในอากาศสูงถึง 80 %