รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
นักวิเคราะห์ Talking Thailand มองหลังฟัง “สุริยะ” ออกมาพูด “ขอให้มั่นใจไทยจะไม่เสียค่าโง่ปมเหมืองทองอัครา 3 หมื่นล้าน “อ.วิโรจน์” ประเมิน พูดแบบนี้ แนวโน้มขยายสัมปทาน “อ.หญิง” ก็ชี้กระบวนการผิดพลาดซ้ำซาก และเสียเปรียบตลอด “อ.วิโรจน์” ขยี้อีก ปมใช้ ม.44 ทั้งที่มีกระบวนการพิสูจน์ หรือศึกษาผลกระทบ จนไปผิดสัญญา “อ.หญิง” เลยดักคอ อย่าเอาภาษีประชาชนไปจ่ายค่าโง่
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย บริษัทแม่ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน) ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี ฟ้องร้องรัฐบาลไทย กรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งระงับการประกอบการกิจการเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ ว่าล่าสุดที่มีขึ้นให้การต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่ประเทศสิงคโปร์เป็นไปได้ด้วยดี แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยในรายละเอียดใดใดได้ เนื่องจากการให้ข้อมูลจะมีผลกระทบต่อคดี
ส่วนระยะเวลาที่จะมีคำพิพากษาในคดี นายสุริยะ ระบุว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถตอบได้ แต่ขอให้มั่นใจว่าไทยจะไม่เสียค่าโง่ 30,000 ล้านบาทตามที่หลายฝ่ายกังวลอย่างแน่นอน
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังนำทีมผู้บริหาร และอดีตผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ทนายความ พยาน และผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างชาติกว่า 20 รายขึ้นให้การต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่ประเทศสิงคโปร์ ว่า เตรียมสรุปข้อมูลรายละเอียดบางอย่าง แถลงต่อสาธารณะชนภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากศาลฯ ขอให้ไทย ยังไม่ควรให้ข้อมูลเนื่องจากจะมีผลกระทบต่อคดี แต่หลังจากที่ศาลอนุญาโตตุลาการไต่สวนเสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 7-8 เดือน จึงจะมีคำพิพากษาในคดี
รายงานข่าวแจ้งว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำชับให้คณะทำงานดำเนินการทุกอย่างเต็มที่ ให้กระทบกับประเทศชาติน้อยที่สุด และประชาชนในพื้นที่ต้องไม่เดือดร้อนด้วย ส่วนกระแสข่าวนักลงทุนไทยที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานรายหนึ่ง สนใจที่จะซื้อกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี ประเด็นนี้ทราบว่านักลงทุนไทยที่จะเข้ามาซื้อกิจการกำลังรอดูแนวโน้มผลการพิจารณาของคณะอนุญาโตฯ ด้วยว่ามีแนวโน้มอย่างไร
แหล่งข่าวจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดดเต็ด ลิมิเต็ด บริษัทแม่ของ บริษัท อัคราฯ กล่าวว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน ที่ได้ฟ้องร้องรัฐบาลไทย เพราะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ที่ผ่านมาทางบริษัท อัคราฯ ได้ประเมินตัวเลขความเสียโอกาสของเหมืองอัครา โดยวัดจากปริมาณสำรองแร่ทอง 8.9 แสนออนซ์ คิดเป็นวงเงินปริมาณ 37,020 ล้านบาท และเงิน 8.3 ล้านออนซ์ คิดเป็นวงเงินประมาณ 3,984 ล้านบาท สามารถผลิตได้ในช่วง 8-10 ปีข้างหน้า รวมมูลค่าทั้งสิ้น 41,004 ล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นตัวเลขที่จะมีการฟ้องร้องรัฐบาลแต่อย่างใด โดยบริษัท อัคราฯ แสดงความมั่นใจว่าพื้นที่ดังกล่าวยังมีแร่ทองคำเหลืออยู่แต่ยังไม่ขุดขึ้นมา
ส่วนปมค่าโง่ทางด่วน วันนี้ (18ก.พ.63) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติแนวทางยุติข้อพิพาททางด่วนระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) โดยให้มีการขยายอายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน
โดยสัญญาระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A ช่วงรัชดาฯ-พระราม9, ส่วน B ช่วงพญาไท-บางโคล่, และ ส่วน C ช่วงแจ้งวัฒนะ-รัชดาฯ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 28 ก.พ. 2563 เป็นสิ้นสุด 31 ต.ค. 2578 ส่วนทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ช่วงบางปะอิน-ปากเกร็ด ที่จะสิ้นสุดวันที่ 22 เม.ย. 2570 และโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C+) ที่จะสิ้นสุด 27 ก.ย. 2569 ให้เป็นสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค. 2578 เช่นกัน โดยมีเงื่อนไขว่าคือให้ยุติข้อพิพาทระหว่างกัน และถอนฟ้องคดี 17 คดีทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าหนี้ 78,908 ล้านบาท
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า สาเหตุที่จำเป็นต้องเร่งพิจารณาขยายอายุสัมปทานให้กับ BEM เนื่องจากจะสิ้นสุดอายุสัมปทานในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ซึ่งหากปล่อยให้หมดอายุสัมปทานจะต้องมีการประมูลหาผู้ให้บริการรายใหม่ จะไม่สามารถทำสัญญาขยายอายุสัมปทานได้ ในขณะที่มูลค่าหนี้ที่จะต้องจ่ายให้กับ BEM ไม่ได้ยุติ และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน หากปล่อยให้หมดอายุสัมปทานตามเดิม รัฐจะต้องจ่ายเงินให้กับ BEM รวมเงินต้นและดอกเบี้ย 3 แสนล้านบาท
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กล่าวว่า การระงับข้อพิพาทครั้งนี้ยังกำหนดการจ่ายผลตอบแทนตามเดิม คือแบ่งสัดส่วนรายได้ให้ กทพ. 60% และ 40% ให้ BEM ในสัญญา A B C และ D ส่วนสัญญา C+ BEM ได้ค่าตอบแทนทั้ง 100% และตามแนวทางการขยายอายุสัญญาสัมปทานได้กำหนดให้ BEM สามารถปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ปีละ 1 บาท แต่จะปรับขึ้นได้เพียงครั้งเดียวคือในปี 2571 หรือขึ้นค่าผ่านทาง 10 บาท ส่วนที่อีก 5 ปี 8 เดือนไม่ให้ปรับขึ้น