ไม่พบผลการค้นหา
มาร์ค มิลลีย์ ประธานเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า ยูเครนมีเวลาเหลืออีกไม่ถึง 30 วันในการสู้รบ ก่อนที่สภาพอากาศจะเป็นอุปสรรคต่อการรุกตอบโต้รัสเซีย

มิลลีย์ ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC ว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นขึ้นกว่าเดิม จะทำให้การรบของยูเครนยากลำบากขึ้นมาก ทั้งนี้ ประธานเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ยอมรับว่า การรุกตอบโต้ของยูเครนดำเนินการไปได้ช้ากว่าที่คาดไว้ แต่เขากล่าวเสริมว่า "ยังคงมีการต่อสู้ที่หนักเกิดขึ้น" และ “ยูเครนยังคงพยายามมอย่างหนักด้วยความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง"

อย่างไรก็ดี มิลลีย์ กล่าวว่ายังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะบอกว่า การโจมตีตอบโต้ของยูเครนต่อรัสเซียนั้นล้มเหลวหรือไม่ แต่เขากล่าวว่ายูเครน "กำลังมีความก้าวหน้าอย่างมั่นคง ผ่านแนวหน้าด่านรบของรัสเซีย"

“ยังมีเวลาพอสมควร ซึ่งอาจเป็นเวลาที่มีสภาพอากาศเอื้อในการสู้รบประมาณ 30 ถึง 45 วัน ดังนั้นยูเครนจึงยังไม่พบกับจุดจบ” มิลลีย์ระบุ “ยังมีการรบที่ยังไม่เสร็จสิ้น... พวกเขายังมีการสู้รบในบางพื้นที่ที่ไม่เสร็จ ในสิ่งที่พวกเขากำลังพยายามทำให้สำเร็จอยู่”

จนถึงปัจจุบันนี้ การรุกตอบโต้รัสเซียของยูเครน ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน และมีเป้าหมายที่จะปลดปล่อยดินแดนที่รัสเซียยึดครองไปจากยูเครนนั้น มีการออกดอกออกผลต่อฝ่ายยูเครนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นายพลของทางยูเครนต่างออกมาอ้างว่า พวกเขาได้ฝ่าแนวป้องกันแนวแรกอันน่าเกรงขามของรัสเซีย ในพื้นที่ทางตอนใต้ที่ถูกยึดไปได้แล้ว

“ผมเคยบอกไปแล้วตอนเริ่มต้นของ (สงคราม) ว่าสงครามนี้จะยาวนาน ช้า ยากลำบาก และก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายสูง และนั่นคือสิ่งที่เป็นอยู่” มิลลีย์ กล่าวกับ BBC

ในการสัมภาษณ์เดียวกัน โทนี่ ราดาคิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า "ยูเครนเป็นฝ่ายชนะ ส่วนรัสเซียกำลังแพ้" พร้อมกันนี้ ราดาคินกล่าวเสริมว่า “นั่นเป็นเพราะเป้าหมายของรัสเซียคือการพิชิตยูเครน และเพื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย… นั่นไม่เกิดขึ้น และมันไม่มีวันเกิดขึ้น และนั่นคือสาเหตุที่ยูเครนเป็นผู้ชนะ”

ราดาคินกล่าวเสริมอีกว่า ยูเครนกำลังมีความคืบหน้าในการสู้รบเพื่อยึดดินแดนกลับคืนมา โดยยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่ที่รัสเซียยึดมาได้ 50% อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าของยูเครนยังขึ้นอยู่กับประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะ “ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและความกดดันทางการทูต และรัสเซียก็ประสบความทุกข์ทรมานด้วยเหตุนั้น”

ในขณะเดียวกัน ราดาคินกล่าวว่าการเป็นพันธมิตรระหว่าง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กับเกาหลีเหนือ แสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีรัสเซียอยู่ใน "ภาวะสิ้นหวัง" ราดาคินยังกล่าวเสริมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นว่า รัสเซียมีพันธมิตรเหลืออยู่เพียงไม่กี่ราย

ทั้งนี้ มีรายงานว่า คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ มีแผนจะเดินทางเยือนรัสเซียในเดือนนี้ เพื่อเข้าพบกับปูตินในการพูดคุยเรื่องอาวุธ โดยมีการกล่าวกันว่าผู้นำทั้งสองกำลังวางแผน ที่จะหารือในการที่เกาหลีเหนือจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ในสงครามยูเครน นอกจากนี้ มีความกังวลทั้งจากสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ เกี่ยวกับสิ่งที่เกาหลีเหนือจะได้รับเป็นการตอบแทนจากข้อตกลงด้านอาวุธ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความร่วมมือทางทหารที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศในเอเชีย

พันธมิตรดังกล่าวเป็น "ภาพสะท้อนของความผิดพลาดร้ายแรง ที่รัสเซียทำโดยการรุกรานยูเครน" ราดาคินกล่าว พร้อมระบุเสริมว่าความสัมพันธ์ของรัสเซียกับเกาหลีเหนือ สะท้อนถึงสถานการณ์ภายในประเทศในรัสเซียด้วย “คุณต้องดูความจริงที่ว่าเศรษฐกิจ (ของรัสเซีย) อยู่ภายใต้แรงกดดัน การคว่ำบาตรส่งผลกระทบมากขึ้น (รัสเซีย) ไม่มีพันธมิตรระหว่างประเทศมากนัก” ราดาคินกล่าว

“(รัสเซีย) สูญเสียผู้คนที่หนีออกนอกประเทศไปแล้วครึ่งล้านคน ยังมีอีกอย่างน้อยหนึ่งล้านคนที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศ... มันคือการดิ้นรนที่จะมีคนเพียงพอในการสนับสนุนการทำสงครามต่อไป” ราดาคินกล่าว


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-europe-66763868?fbclid=IwAR0LW2GnEA_RWq1hBGoMtw6ey6kRh0BLcWZhnkbqo2ihoRM7GH6LHnvM5LM