สถานการณ์ตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซียยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงง่ายๆ เพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตร ประกาศว่า จะกดดันอิหร่านให้ยุติการก่อเหตุโจมตีเรือสินค้าบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ แต่ล่าสุดอิหร่านตอบโต้ด้วยการเปิดพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโดรนของสหรัฐฯ ที่ถูกยิงตก เพื่อประกาศศักยภาพทางทหารของตัวเอง

นับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่านอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลอิหร่านก็ตอบโต้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรด้วยการใช้กำลังทางทหารในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิงโดรนตรวจการณ์ของสหรัฐฯ ตกลงในทะเลบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ รวมถึงการกักเรือสินค้าของประเทศต่างๆ หลายลำในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรประกาศจะตอบโต้อิหร่านอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

ล่าสุด อิหร่านได้แสดงท่าทีตอบโต้สหรัฐฯ รอบใหม่ด้วยการเปิดพิพิธภัณฑ์ในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน เพื่อแสดงศักยภาพทางการทหารของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ภายในพิธีเปิดงานก็มีการจัดแสดงซากโดรนของกองทัพสหรัฐฯ ที่ถูกอิหร่านยิงตกในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ เคยปฎิเสธว่าไม่มีโดรนของสหรัฐฯ ถูกยิงตก การที่อิหร่านนำซากโดรนเหล่านี้มาจัดแสดงก็เพื่อจะยืนยันว่ากองทัพของตัวเองนั้นสามารถจัดการกับโดรนของสหรัฐฯ ได้จริง

ท่าทีดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่าความตึงเครียดในน่านน้ำแถบอ่าวเปอร์เซียจะยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีนโยบายตอบโต้อย่างแข็งกร้าวเช่นกัน และก็มีการเจรจาหาแนวร่วมกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ผู้นำกลุ่มประเทศอาหรับที่เป็นปฏิปักษ์กับอิหร่าน 

ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เป็นภาคีของข้อตกลงนิวเคลียร์กัลอิหร่านซึ่งยังไม่ได้ถอนตัวตามสหรัฐฯ ก็พยายามที่จะหาทางเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความตึงเครียดเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก เพราะประเทศที่เป็นคู่เจรจาหลักอย่างสหรัฐฯ และอิหร่านยังไม่อ่อนข้อให้กัน

นอกจากนี้ อิหร่านยังเริ่มฝึกซ้อมรบทางทะเลบริเวณช่องแคบฮอร์มุซเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมรบประจำปีตามปกติ แต่ครั้งนี้อิหร่านได้ไฮไลต์การฝึกยิงโจมตีโดรนทางอากาศด้วย แสดงให้เห็นว่าอิหร่านต้องการจะส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ อย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในน่านน้ำทะเลแถบนี้เป็นอันขาด

ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ประกาศตอบโต้ด้วยการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและธุรกรรมการเงิน โดยมีคำสั่งห้ามธนาคารสหรัฐฯ ดำเนินธุรกรรมใดๆ กับธนาคารกลางอิหร่าน รวมถึงประกาศระงับงบช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เคยนำไปใช้ในโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิหร่านทั้งหมด และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่า วิธีนี้ทำให้อิหร่านได้รับผลกระทบโดยตรง 

นักวิเคราะห์ก็เลยออกมาเตือนว่า การคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งทำให้อิหร่านตอบโต้ด้วยมาตรการรุนแรงกว่าเดิมเช่นกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพราะช่องแคบฮอร์มุซซึ่งอยู่ใกล้กับอิหร่านเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศในช่วงที่ผ่านมาก็ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์น้ำมันโลกอยู่แล้ว หากเจรจายุติความตึงเครียดกันได้จะเป็นผลดีต่อประชาคมโลกมากกว่า แต่ก็ดูเหมือนว่าคู่กรณีทั้งสองประเทศจะยอมกันไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้